my research

โครงการวิจัย แอพลิเคชันการเรียนรู้ระบบการเพาะปลูกข้าวที่ทันสมัย

จังหวัดชัยนาท

Linkrice_app/

การทำนา หมายถึง การปลูกข้าว การปลูกข้าวในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีด้วยกันดังนี้

(1) การปลูกข้าวไร่ หมายถึง การปลูกข้าวบนที่ดอน และไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าวที่ปลูก เรียกว่า ข้าวไร่ พื้นที่ดอนส่วนมาก เช่น เชิงภูเขา มักจะไม่มีระดับ คือ สูงๆ ต่ำๆ จึงไม่สามารถไถเตรียมดิน และปรับระดับได้ง่ายๆ เหมือนกับพื้นที่ราบ เพราะฉะนั้น ชาวนามักจะปลูกแบบหยอด โดยขั้นแรกทำการตัดหญ้าและต้นไม้เล็กออก ทำความสะอาดพื้นที่ที่จะปลูก แล้วใช้หลักไม้ปลายแหลมเจาะดินเป็นหลุมเล็กๆ ลึกประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปากหลุมมีขนาดกว้างพอ ที่จะหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวลงไปได้ 5-10 เมล็ด หลุมนี้มีระยะห่างกันประมาณ 25 เซนติเมตร จะต้องหยอดเมล็ดพันธุ์ทันที หลังจากที่ได้เจาะหลุม หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์แล้ว จะใช้เท้ากลบดินปากหลุม เมื่อฝนตกลงมา เมล็ดได้รับความชื้น ก็จะงอกและเจริญเติบโตเป็นต้นข้าว เนื่องจากที่ดอนไม่มีน้ำขัง และไม่มีการชลประทาน การปลูกข้าวไร่จึงต้องใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว พื้นดินที่ปลูกข้าวไร่จะแห้งและขาดน้ำทันที เมื่อสิ้นฤดูฝน ดังนั้น การปลูกข้าวไร่จะต้องใช้พันธุ์ที่มีอายุเบา โดยปลูกในต้นฤดูฝน และแก่เก็บเกี่ยวได้ ในปลายฤดูฝน การปลูกข้าวไร่ชาวนาจะต้องหมั่นกำจัด วัชพืช เพราะที่ดอนมักจะมีวัชพืชมากกว่าที่ลุ่ม เนื้อที่ที่ใช้ปลูกข้าวไร่ในประเทศไทย มีจำนวนน้อยและมีปลูกมากในภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางปลูกข้าวไร่น้อยมาก

(2) การปลูกข้าวนาดำ เรียกว่า การปักดำ ซึ่งวิธีการปลูกแบ่งออกได้เป็นสอง ตอน ตอนแรก ได้แก่ การตกกล้าในแปลงขนาดเล็ก และตอนที่สอง ได้แก่ การถอนต้นกล้า เอาไปปักดำในนาผืนใหญ่

(2.1) การเตรียมดิน ต้องทำการเตรียมดินให้ดีกว่า การปลูกข้าวไร่ โดยมีการไถดะ การไถแปร และการคราด ปกติการไถและคราดในนาดำมักจะใช้แรง วัว ควาย หรือแทรกเตอร์ขนาดเล็ก ที่เรียกว่า ควายเหล็กหรือไถยนต์เดินตาม ทั้งนี้เป็นเพราะพื้นที่นาดำนั้น ได้มีคันนาแบ่งกั้นออกเป็นแปลงเล็กๆ ขนาด 1-2 ไร่ คันนามีไว้สำหรับกักเก็บน้ำ หรือปล่อยน้ำทิ้งจากแปลง นา นาดำจึงมีการบังคับระดับน้ำในนาได้บ้างพอสมควร ก่อนที่จะทำการไถ ต้องรอให้ดินมีความชื้นพอที่จะไถได้เสียก่อน ปกติจะต้องรอให้ฝนตก จนมีน้ำขังในผืนนา หรือไขน้ำเข้าไปในนา เพื่อทำให้ดินเปียก การไถดะ หมายถึง การไถครั้งแรกเพื่อทำลายวัชพืชในนา และ พลิกกลับหน้าดิน แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงทำการไถแปร ซึ่งหมายถึง การไถเพื่อตัดกับรอยไถดะ ทำให้รอยไถดะแตกออกเป็นก้อนเล็กๆ จนวัชพืชหลุดออกจากดิน การไถแปรอาจไถมากกว่าหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในนา ตลอดถึงชนิดและปริมาณของวัชพืช เมื่อไถแปรแล้วก็ทำการคราดได้ทันที การคราด คือ การคราดเอาวัชพืชออกจากผืนนา และปรับพื้นที่นาให้ได้ระดับเป็นที่ราบเสมอกัน ด้วยนาที่มีระดับ เป็นที่ราบ ต้นข้าวจะได้รับน้ำเท่าๆ กัน และสะดวกแก่ การไขน้ำเข้าออก

(2.2) การตกกล้า หมายถึง การเอาเมล็ดไปหว่านให้งอกและเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นต้นกล้า เพื่อเอาไปปักดำ การตกกล้าสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การตกกล้าในดินเปียก การตกกล้าในดินแห้ง และการตกกล้าแบบดาปกการตกกล้าในดินเปียก จะต้องเลือกหาพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินดีเป็นพิเศษ สามารถป้องกันนกและหนู ที่จะเข้าทำลายต้นกล้าได้เป็นอย่างดี และมีน้ำพอเพียงกับความต้องการ การเตรียมดินก็มีการไถดะ ไถแปร และคราด ดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ต้องยกเป็น แปลงสูงจากระดับน้ำในผืนนานั้นประมาณ 3 เซนติเมตร ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เมล็ดที่หว่านลงไปจมน้ำและดิน จนเปียกชุ่มอยู่เสมอ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรแบ่งแปลงนี้ออกเป็นแปลงย่อยขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร และมีความยาวขนานไปกับทิศทางลม ระหว่างแปลง เว้นช่องว่างไว้สำหรับเดิน ประมาณ 30 เซนติเมตร ทั้งนี้ เพื่อลดแรงระบาดของโรคที่จะเข้าไปทำลายต้นข้าว เช่น โรคไหม้

กล้าข้าว ซึ่งตกกล้าด้วยด้วยวิธีการตกกล้าในดินเปียก ขณะมีขนาดโตเพียงพอที่จะถอนได้กล้าข้าว ซึ่งตกกล้าด้วยด้วยวิธีการตกกล้าในดินเปียก ขณะมีขนาดโตเพียงพอที่จะถอนได้เมล็ดพันธุ์ที่เอามาตกกล้าจะต้องเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ ปราศจากเชื้อโรคต่างๆ ด้วยเหตุนี้จะต้องทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์เสียก่อน โดยแยกเอามาเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์ และเอาเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าปกติทิ้งไป การคัดเลือกเอาเมล็ดที่สมบูรณ์ อาจทำได้โดยเอาเมล็ดพันธุ์ไปใส่ในน้ำเกลือ ที่มีความถ่วงจำเพาะ 1.08 ซึ่งเตรียมไว้ โดยเอาน้ำสะอาด 10 ลิตร ผสมกับเกลือแกง หนัก 1.7 กิโลกรัม เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์จะลอย ส่วนเมล็ดสมบูรณ์นั้นจมลงไปที่ก้นของภาชนะเอาเมล็ดที่ต้องการตกกล้าใส่ถุงผ้าไปแช่น้ำนาน 12-24 ชั่วโมง แล้วเอาขึ้นมาวางไว้บนแผ่นกระดาน ในที่ที่มีลมถ่ายเทได้สะดวก และเอาผ้า หรือกระสอบเปียกน้ำ คลุมไว้นาน 36-48 ชั่วโมง ซึ่งเรียกว่า การหุ้ม หลังจากที่ได้หุ้มเมล็ดไว้ครบ 36-48 ชั่วโมงแล้ว เมล็ดข้าวก็จะงอก จึงเอาไปหว่านลงบนแปลงกล้า ที่ได้เตรียมไว้ ก่อนที่จะหว่านเมล็ดลงบนแปลงกล้า ควรใส่ปุ๋ยพวกที่ให้ธาตุไนไตรเจน และฟอสฟอรัสเสียก่อน และใช้ไม้กระดานลูบแปลง เพื่อกลบปุ๋ยลงไปในดิน ปกติใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 50-80 กิโลกรัม/เนื้อที่ แปลงกล้า 1 ไร่

เมื่อต้นกล้ามีอายุครบ 25-30 วัน นับจากวันหว่านเมล็ด ต้นกล้าก็จะมีขนาดโตพอที่จะถอนเอาไปปักดำได้ การตกกล้าแบบนี้ เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในการทำนาดำในประเทศไทย

การถอนกล้าในดินแห้ง    การตกกล้าในดินแห้ง ในกรณีที่ชาวนาไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการตกกล้าในดินเปียก ชาวนาอาจทำการตกกล้าบนที่ดอน ซึ่งไม่มีน้ำขัง โดยเอาเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งยังไม่ได้เพาะให้งอก ไปโรยไว้ในแถวที่เปิดเป็นร่องเล็กๆ ขนาดยาวประมาณ 1 เมตร จำนวนหลายแถว แล้วกลบดิน เพื่อป้องกันนกและหนู หลังจากนั้นก็รดน้ำด้วยบัวรดน้ำวันละ 2-3 ครั้ง เมล็ดจะงอกขึ้นมาเป็นต้นกล้า เหมือนกับการตกกล้าในดินเปียก ปกติใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 7-10 กรัม/แถว ที่มีความยาว 1 เมตรและแถวห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร หลังจากโรยเมล็ด และกลบดินแล้ว ควรหว่านปุ๋ยพวก ที่ให้ธาตุไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ในอัตราต่ำลงไปด้วย การตกกล้าในดินแห้งจะไม่ทำให้ต้นกล้า ที่มีอายุมากกว่า 40 วัน มีปล้องที่ลำต้น เหมาะสำหรับการตกกล้าที่ต้องรอน้ำฝนสำหรับปักดำ

การตกกล้าแบบดาปก การตกกล้าแบบนี้เป็นที่นิยมทำกันมากในประเทศฟิลิปปินส์ ขั้นแรกทำการเตรียมพื้นที่ดิน และแปลงกล้า ซึ่งเหมือนกับการตกกล้า ในดินเปียก หรือจะเป็นที่ดอนเรียบก็ได้ แล้วใช้กาบของต้นกล้วย ต่อกันเป็นกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 1 เมตร และยาวประมาณ 1.5 เมตร วางลงบนพื้นที่ที่ได้เตรียมไว้ ต่อจากนั้นเอาใบกล้วยที่ไม่มีก้านกลางวางเรียง เพื่อปูเป็นพื้นที่ในกรอบนั้น ให้เอาด้านล่างของใบหงายขึ้น และไม่ให้มีรอยแตกของใบ เพราะฉะนั้นใบกล้วยที่ปูพื้นนั้นจะต้องวางซ้อนกันเป็นทอดๆ แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งได้เพาะให้งอกแบบการตกกล้าในดินเปียก โรยลงไปในกรอบที่เตรียมไว้นี้ โดยใช้เมล็ดพันธุ์หนัก 3 กิโลกรัม/เนื้อที่ 1 ตารางเมตร ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ที่โรยลงไปในกรอบ จะซ้อนกันเป็น 2-3 ชั้น หลังจากโรยเมล็ดแล้ว จะต้องใช้บัวรดน้ำชนิดรูเล็กมาก รดลงในกรอบที่โรยเมล็ดนี้วันละ 2-3 ครั้ง ในที่สุดเมล็ดก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นต้นกล้า ต้นกล้าแบบนี้อายุประมาณ 10-14 วัน ก็พร้อมที่ใช้ปักดำได้ การที่จะเอาต้นกล้าไปปักดำไม่จำเป็นต้องถอนต้นกล้า เหมือนกับวิธีอื่นๆ เพราะรากของต้นกล้าเกาะกันแน่น ระหว่างต้น และราก ก็ไม่ได้ทะลุใบกล้วยลงไปในดิน ฉะนั้น ชาวนาจึงทำการม้วนใบกล้วยแบบม้วนเสื่อ โดยมีต้นกล้าอยู่ภายใน การม้วนก็ควรม้วนหลวมๆ ถ้าม้วนแน่น จะทำให้ต้นกล้าเสียหายได้ เมื่อถึงแปลงปักดำก็จะคลี่มันออก แล้วแบ่งต้นกล้าไปปักดำ การตกกล้า วิธีนี้อาจเหมาะกับการทำกล้าซิมในภาคเหนือ (การทำ กล้าซิม คือ การเอาต้นกล้าที่มีอายุ 10-14 วัน ไปปักดำในนา โดยปักดำถี่และปักดำกอละหลายๆ ต้น หลังจากกล้าซิมมีอายุได้ 20 วัน ก็พร้อมที่จะถอนไปปักดำ ตามปกติ)

(3) การปักดำ เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25 -30 วัน จากการตกกล้าในดินเปียก หรือการตกกล้าในดินแห้ง ก็จะโตพอที่จะถอนเอาไปปักดำได้ สำหรับต้นกล้าที่ได้มาจากการตกกล้าแบบดาปกนั้น ในเมืองไทยยังไม่เคยปฏิบัติ ควรจะต้องเอาไปซิมแบบชาวนาในจังหวัดเชียงรายเสียก่อน จึงเอาไปปักดำได้ เพราะต้นกล้าขนาด 10-14 วันนั้น อาจมีขนาดเล็กเกินไปที่จะใช้ปักดำในพื้นที่นาของเรา ซึ่งมีน้ำขังมาก ขั้นแรก ให้ถอนต้นกล้าขึ้นมาจากแปลงแล้วมัดรวมกันเป็นมัดๆ ตัดปลายใบทิ้ง ถ้าต้นกล้าเล็กมากไม่ต้องตัดปลายใบทิ้ง สำหรับต้นกล้าที่ได้มาจากการตกกล้าในดินเปียก จะต้องล้างเอาดินที่รากออกเสียด้วยแล้วเอาไปปักดำ ในพื้นที่นาได้เตรียมไว้ พื้นที่นาที่ใช้ปักดำควรมีน้ำขังอยู่ประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพราะต้นข้าวอาจจะถูกลมพัด จนพับลงได้ ในเมื่อนานั้น ไม่มีน้ำอยู่เลย ถ้าระดับน้ำในนานั้นลึกมาก ต้นข้าวที่ปักดำอาจจมน้ำในระยะแรก และทำให้ต้นข้าวต้องยืดต้นมากกว่าปกติ จนมีผลให้แตกกอน้อย การปักดำที่จะให้ได้ผลิตผลสูง จะต้องปักดำให้เป็นแถวเป็นแนว และมีระยะห่างระหว่างกอมากพอสมควร การปักดำโดยทั่วไป มักใช้ต้นกล้าจำนวน 3-5 ต้นต่อกอ ระยะปลูกหรือปักดำจะต้องมีระยะ ห่างระหว่างกอและระหว่างแถวประมาณ 25 เซนติเมตร

(4) การปลูกข้าวนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดย เอาเมล็ดพันธุ์หว่านลงไปในพื้นที่นาที่ได้ไถเตรียมดินไว้ การเตรียมดินก็มีการไถดะและไถแปร ปกติชาวนา จะเริ่มไถนา เพื่อปลูกข้าวนาหว่าน ตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากพื้นที่นาสำหรับปลูกข้าวนาหว่าน ไม่มีคันนากั้นแบ่งออกเป็นผืนเล็กๆ จึงสะดวกแก่การไถด้วยรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวนาอีกจำนวนมากที่ใช้แรงวัวและควายไถนา การปลูกข้าวนาหว่านมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การหว่านสำรวย การหว่านคราดกลบ หรือไถกลบ การหว่านหลังขี้ไถ และการหว่านน้ำตมการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว

(5) การหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว

การหว่านสำรวย การหว่านวิธีนี้ชาวนาจะต้อง เริ่มไถนาเตรียมดินตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งมีการไถดะ และไถแปร แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้เพาะให้งอกหว่าน ลงไปโดยตรง ปกติใช้เมล็ดพันธุ์ 1-2 ถัง/ไร่ เมล็ด พันธุ์ที่หว่านลงไปบางส่วนจะตกลงไปอยู่ตามซอก ระหว่างก้อนดินและรอยไถ เมื่อฝนตกลงมา ทำให้ดิน เปียกและเมล็ดที่ได้รับความชื้น ก็จะงอกขึ้นมาเป็นต้น กล้า การหว่านวิธีนี้ใช้เฉพาะในท้องที่ที่ฝนตกตาม ฤดูกาล

การหว่านคราดกลบหรือไถกลบ ในกรณีที่ดินมีความชื้นอยู่บ้างแล้ว และเป็นเวลาที่ฝนจะเริ่มตกตาม ฤดูกาล ชาวนาจะปลูกข้าวแบบหว่านคราดกลบหรือ ไถกลบ โดยชาวนาจะทำการไถดะและไถแปร แล้วเอา เมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้ เพาะให้งอกจำนวน 1-2 ถัง/ไร่ หว่านลงไปทันที แล้วคราดหรือไถ เพื่อกลบเมล็ดที่หว่าน ลงไปอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากดินมีความชื้นอยู่แล้วเมล็ด ก็จะเริ่มงอกทันทีหลังจากหว่านลงไปในดิน วิธีนี้ดูเหมือนว่าจะดีกว่าวิธีแรก เพราะเมล็ดจะงอกทันทีหลังจากที่ ได้หว่านลงไป นอกจากนี้ การตั้งตัวของต้นกล้าก็ดีกว่า วิธีแรกด้วย เพราะเมล็ดที่หว่านลงไปถูกดินกลบฝังลึก ลงไปในดิน

การปลูกข้าวแบบการหว่านไถกลบการหว่านน้ำตม การหว่านแบบนี้นิยมใช้ในพื้นที่ ที่มีการชลประทานอย่างสมบูรณ์แบบ และพื้นที่นาเป็น ผืนใหญ่ มีคันนากั้น การเตรียมดินก็เหมือนกับการ เตรียมดินสำหรับนาดำ ซึ่งมีการไถดะไถแปรและคราด เพื่อจะได้เก็บวัชพืชออกไปจากนาและปรับระดับพื้นที่ นา แล้วทิ้งให้ดินตกตะกอนจนเห็นว่าน้ำใส และน้ำในนา ไม่ควรลึกกว่า 2 เซนติเมตร จึงเอาเมล็ดพันธุ์จำนวน 1-2 ถัง/ไร่ ที่ได้เพาะให้งอกแล้วหว่านลงไป เมล็ดก็จะ เจริญเติบโตเป็นต้นข้าวและโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ มีการ เจริญเติบโตอย่างข้าวอื่นๆ ตามปกติ

(6) การดูแลรักษา ในระหว่างการเจริญเติบโตของต้นข้าวตั้งแต่การ หยอดเมล็ดเพื่อปลูกข้าวไร่ การหว่านเมล็ดเพื่อให้ได้ ต้นกล้า การปักดำ เพื่อให้ได้รวงข้าว และการหว่าน เมล็ดในการปลูกข้าวนาหว่าน ต้นข้าวต้องการน้ำและ ปุ๋ย สำหรับการเจริญเติบโต ในระยะนี้ ต้นข้าวอาจถูกโรคและแมลงศัตรูข้าวหลายชนิดเข้ามาทำลายต้นข้าว โดยทำให้ต้นข้าวแห้งตาย หรือผลิตผลต่ำและคุณภาพ เมล็ดไม่ได้มาตรฐาน เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีวิธีการ ปลูกที่ดีแล้ว จะต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่ดีอีกด้วย ผู้ปลูกจะต้องหมั่นออกไปตรวจดูต้นข้าวที่ปลูกไว้เสมอๆ ในแปลงที่ปลูกข้าวไร่ จะต้องมีการกำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย และพ่นยาเคมี เพื่อป้องกัน และกำจัดโรคแมลงศัตรูที่อาจ เกิดระบาดขึ้นได้ ในแปลงกล้าและแปลงปักดำจะต้อง มีการใส่ปุ๋ย มีน้ำเพียงพอกับความต้องการของต้นข้าว และพ่นยาเคมีป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูข้าว นอกจากนี้ ชาวนาจะต้องหมั่นกำจัดวัชพืชในแปลงปักดำอีกด้วย เพราะวัชพืชเป็นตัวที่แย่งปุ๋ยไปจากต้นข้าว ในพื้นที่นาหว่าน ชาวนาจะต้องกำจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมี หรือจะใช้แรงคนถอนทิ้งไปก็ได้ นอกจากนี้จะต้องพ่นสารเคมี เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงอีกด้วย เนื่องจากพื้นที่ นาหว่านมักจะมีระดับน้ำลึกกว่านาดำ ฉะนั้น ชาวนา ควรใส่ปุ๋ยก่อนที่น้ำจะลึก ยกเว้นในพื้นที่ที่น้ำไม่ลึกมาก ก็ให้ใส่ปุ๋ยแบบนาดำทั่วๆ ไป การใส่ปุ๋ยในนาข้าวเพื่อบำรุงดินที่เสื่อมไป เพราะต้นข้าวดูดเอาแร่ธาตุไปใช้ การใส่ปุ๋ยในนาข้าว เพื่อบำรุงดินที่เสื่อมไป เพราะต้นข้าวดูดเอาแร่ธาตุไปใช้

(7) การเก็บเกี่ยว เมื่อดอกข้าวบานและมีการผสมเกสรแล้วหนึ่ง สัปดาห์ ภายในที่ห่อหุ้มด้วยเปลือกนอกใหญ่ ก็จะเริ่มเป็นแป้งเหลวสีขาว ในสัปดาห์ที่สองแป้งเหลวนั้น ก็จะแห้งกลายเป็นแป้งค่อนข้างแข็ง และในสัปดาห์ที่สาม แป้งก็จะแข็งตัวมากยิ่งขึ้น เป็นรูปร่างของเมล็ดข้าวกล้อง แต่มันจะแก่เก็บเกี่ยวได้ในสัปดาห์ที่สี่นับจากวัน ที่ผสมเกสรจึงเป็นที่เชื่อถือได้ว่า เมล็ดข้าวจะแก่พร้อมเก็บเกี่ยวได้ หลังจากออกดอกแล้วประมาณ 30-35 วัน การเกี่ยวข้าวชาวนาในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางใช้เคียว สำหรับเกี่ยวข้าว ทีละหลายๆ รวง ส่วนชาวนาในภาคใต้ใช้แกระสำหรับเกี่ยวข้าวทีละรวง เคียวที่ใช้เกี่ยวข้าวมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ เคียวนาสวนและ เคียวนาเมือง เคียวนาสวนเป็นเคียววงกว้าง ใช้สำหรับ เกี่ยวข้าวนาสวน ซึ่งปลูกแบบปักดำ แต่ถ้าผู้ใช้ มีความชำนาญก็อาจเอาไปใช้เกี่ยวข้าวนาเมืองก็ได้ ส่วนเคียวนาเมืองเป็นเคียววงแคบและมีด้ามยาวกว่า เคียวนาสวน เคียวนาเมืองใช้เกี่ยวข้าวนาเมือง ซึ่งปลูกแบบหว่าน ข้าวที่เกี่ยวด้วยเคียวไม่จำเป็นต้อง มีคอรวงยาว เพราะข้าวที่เกี่ยวมาจะถูกรวบมัดด้วย ตอซังหรือตอกไม้ไผ่ เป็นกำๆ ส่วนข้าวที่เกี่ยวด้วยแกระ จำเป็นต้องมีคอรวงยาว เพราะชาวนาต้องเกี่ยวเฉพาะรวงทีละรวง แล้วมัดเป็นกำๆ ซึ่งเรียกว่า เรียง ข้าวที่เกี่ยวด้วยแกระ ชาวนาจะเก็บไว้ในยุ้งฉางซึ่งโปร่ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และจะทำการนวดเมื่อต้อง การขายหรือต้องการสีเป็นข้าวสาร ข้าวที่เกี่ยวด้วย เคียวชาวนาจะทิ้งไว้บนตอซังในนา เพื่อตากแดดให้แห้ง เป็นเวลานาน 3-5 วัน หรือจะตากบนราวไม้ไผ่ก็ได้ แล้วจึงขนมาที่ลานสำหรับนวด ข้าวที่นวดแล้ว จะถูกขนย้ายไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง หรือส่งไปขายที่โรงสีทันที

(8) การนวดข้าว หมายถึง การเอาเมล็ดข้าวออกจากรวง แล้วทำความสะอาด เพื่อแยกเมล็ดข้าวลีบและเศษฟางข้าวออกไป เหลือไว้เฉพาะเมล็ดข้าวเปลือกที่ต้องการเท่านั้น ขั้นแรกจะต้องตากข้าวให้แห้งเสียก่อน การกองข้าว สำหรับตากก็มีหลายวิธี แต่หลักสำคัญมีอยู่ว่าการกอง จะต้องเป็นระเบียบ ถ้ากองไม่เป็นระเบียบ มัดข้าว จะอยู่สูงๆ ต่ำๆ ชาวนามักจะกองเป็นรูปสามเหลี่ยม ที่เป็นระเบียบ เพื่อจะทำให้ความชื้นค่อยๆ ลดลงแล้ว ความแข็งแกร่งของเมล็ดก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย และเมื่อฝนตกลงมา น้ำฝนก็ไม่อาจจะไหลเข้าไปในกอง ข้าว หลังจากนั้นก็ขนไปที่ลานนวดข้าว แล้วเรียงไว้ เป็นชั้นๆ เป็นรูปวงกลม

(9) การตากข้าวให้แห้งก่อนนำไปนวด

ชาวนามักจะนวดข้าวหลังจากที่ได้ตากข้าวให้แห้ง เป็นเวลา 3-5 วัน และเมล็ดข้าวเปลือกมีความชื้น ประมาณ 13-15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมล็ดที่เกี่ยวมาใหม่ๆ จะมีความชื้นประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ การนวด ชาวนาก็ใช้แรงสัตว์ เช่น วัว ควาย ขึ้นไปเหยียบย่ำ เพื่อขยี้ให้เมล็ดหลุดออกจากรวงข้าว รวงข้าวที่เอาเมล็ด ออกหมดแล้วเรียกว่า ฟางข้าว ที่กล่าวนี้ก็เป็นวิธีหนึ่ง ของการนวดข้าว ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการนวดข้าวมีหลายวิธี เช่น การนวดแบบฟาดกำข้าว การนวดแบบใช้คนย่ำ การนวดแบบใช้วัวควายย่ำ การนวดโดยใช้เครื่องทุ่นแรงการนวดแบบฟาดกำข้าว ชาวนาในภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมทำกันมาก โดยฟาดกำ ข้าวซึ่งได้เกี่ยวติดเอาส่วนของต้นข้าวมาด้วย ฟาดลง บนแผ่นไม้ที่วางไว้บนภาชนะสำหรับรองรับเมล็ดข้าวเปลือกที่หลุดออกมาการนวดแบบใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องทุ่นแรง สำหรับนวดข้าวมีหลายชนิด เช่น เครื่องนวดแบบใช้ แรงคน และเครื่องนวดที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งสามารถนวดข้าวได้เร็วกว่าการใช้สัตว์หรือคนเหยียบย่ำ การนวดข้าวด้วยเครื่องนวดการนวดแบบใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เครื่องจักร ขนาดใหญ่สำหรับนวดข้าว เช่น เครื่องคอมไบน์ (combine) มีใช้น้อยมากในประเทศไทยเพราะราคาแพง และไม่เหมาะสมกับสภาพดินนาของประเทศไทย เครื่องคอมไบน์นอกจากจะทำการนวดแล้ว ยังทำความสะอาด เมล็ดข้าวเปลือกด้วย

(10) การทำความสะอาดเมล็ด

เมล็ดข้าวที่ได้มาจากการนวด จะมีสิ่งเจือปน หลายอย่าง เช่น ดิน กรวด ทราย เมล็ดลีบ ฟางข้าว ทำให้ขายได้ราคาต่ำ ฉะนั้น ชาวนาจะต้องทำความ สะอาดเมล็ดก่อนที่จะเอาข้าวเปลือกเก็บไว้ในยุ้งฉาง หรือขายให้กับพ่อค้า การทำความสะอาดเมล็ดก็หมาย ถึง การเอาข้าวเปลือกออกจากสิ่งเจือปนอื่นๆ ซึ่งทำได้ โดยวิธีต่างๆ ดังนี้

(11) การสาดข้าว ใช้พลั่วสาดเมล็ดข้าวขึ้นไปในอากาศ เพื่อให้ลมพัดเอาสิ่งเจือปนออกไป ส่วนเมล็ดข้าวเปลือก ที่ดีก็จะตกมารวมกันเป็นกองที่พื้นดิน การทำความสะอาดเมล็ดข้าวด้วยพลั่วการใช้กระด้งฝัด โดยใช้กระด้งแยกเมล็ดข้าวดี และสิ่งเจือปนให้อยู่คนละด้านของกระด้ง แล้วฝัดเอาสิ่ง เจือปนทิ้ง วิธีนี้ใช้กับข้าวที่มีปริมาณน้อยๆ

(12) การใช้เครื่องสีฝัด เป็นเครื่องมือทุ่นแรงที่ใช้หลัก การให้ลมพัดเอาสิ่งเจือปนออกไป โดยใช้แรงคนหมุน พัดลมในเครื่องสีฝัดนั้น พัดลมนี้อาจใช้เครื่องยนต์เล็กๆ หมุนก็ได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำความสะอาดเมล็ดได้อย่าง มีประสิทธิภาพสูง

(13) การตากข้าว

เพื่อรักษาคุณภาพเมล็ดข้าวให้ได้มาตรฐานอยู่ เป็นเวลานานๆ หลังจากนวด และทำความสะอาดเมล็ดแล้ว จึงจำเป็นต้องเอาข้าวเปลือกไปตากอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเอาไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง ทั้งนี้เพื่อให้ได้เมล็ดข้าว เปลือกที่แห้ง และมีความชื้น ของเมล็ด ประมาณ 13- 15% เมล็ดข้าวในยุ้งฉางที่มีความชื้นสูงกว่านี้ จะทำให้เกิดความร้อนสูง จนคุณภาพข้าวเสื่อม นอกจากนี้ จะทำให้เชื้อราต่างๆ ที่ติดมากับเมล็ดขยายพันธุ์ได้ดี จนสามารถทำลายเมล็ดข้าวเปลือกได้เป็นจำนวนมาก  การตากข้าวในระยะนี้ ควรตากบนลานที่สามารถแผ่ กระจายเมล็ดข้าวให้ได้รับแสงแดดโดยทั่วถึงกัน และ ควรตากไว้นานประมาณ 3-4 แดด ในต่างประเทศ เขาใช้เครื่องอบข้าวเพื่อลดความชื้นในเมล็ด (drier) โดยให้เมล็ดข้าวผ่านอากาศร้อนประมาณ 100-130 องศาฟาเรนไฮต์จำนวน 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งควรห่าง กันประมาณ 20-24 ชั่วโมงการตากเมล็ดข้าวเพื่อรักษาคุณภาพ หลังจากทำความสะอาดแล้ว     การตากเมล็ดข้าว เพื่อรักษาคุณภาพ หลังจากทำความสะอาดแล้ว

(14) การเก็บรักษาข้าว

หลังจากชาวนาได้ตากเมล็ดข้าวจนแห้งและมีความ ชื้นในเมล็ดประมาณ 13-15% แล้วนั้น ชาวนาจะเก็บ ข้าวไว้ในยุ้งฉาง เพื่อไว้บริโภค และแบ่งขายเมื่อข้าวมี ราคาสูง และอีกส่วนหนึ่งชาวนาจะแบ่งไว้ทำพันธุ์ ฉะนั้น ข้าวพวกนี้จะต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี โดยรักษาให้ ข้าวนั้นมีคุณภาพได้มาตรฐานอยู่ตลอดเวลา และไม่สูญ เสียความงอก ข้าวพวกนี้ควรเก็บไว้ในยุ้งฉาง ยุ้งฉางที่ ดีจะต้องเป็นยุ้งฉางที่ทำด้วยไม้ยกพื้นสูงจากพื้นดิน อย่างน้อย 1 เมตร อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อจะได้ ระบายความชื้นและความร้อนออกไปจากยุ้งฉาง นอก จากนี้ หลังคาของฉางจะต้องไม่รั่ว กันน้ำฝนไม่ให้หยด ลงไปในฉางได้เป็นอันขาด ก่อนเอาข้าวขึ้นไปเก็บไว้ ในยุ้งฉาง จำเป็นต้องทำความสะอาดฉางเสียก่อนโดย ปัดกวาดแล้วพ่นด้วยยาฆ่าแมลง

การสร้างแอพลิเคชัน

งานวิจัยนี้จะใช้โปรแกรม Unity และโปรแกรม Android Studio ใช้ในการสร้างแอพลิเคชัน

โปรแกรม Unity คือ Game Engine ที่ช่วยพัฒนาแอพลิเคชัน สามารถทำงานได้ หลายแพลตฟอร์ม คือ Windows และ OSX และสามารถ Export งานเพื่อนำไปใช้งานได้หลาย แพลตฟอร์ม เช่น ระบปฏิบัติการ Windows, OSX, Androids, iOS (iPhone) และเว็บไซต์ ลักษณะโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ แบ่งเป็น GameObject ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง หรือ แมลงตัวหนึ่ง ถือเป็น GameObject โดย GameObject จะทำงานร่วมกับ Component

GameObject คือวัตถุต่างๆที่อยู่ในเกมส์ เช่น รถ 1 คัน, สัตว์ 1 ตัว, คน 1 คน, บ้าน 1 หลัง หรือ ต้นไม้ 1 ต้น เป็นต้น

ส่วนประกอบที่สำคัญของโปรแกรมประกอบด้วย

Component คือคุณลักษณะหรือความสามารถต่างๆ ของ Object เช่น การเคลื่อนไหว

Asset คือ คุณลักษณะภายนอกที่เสริมการทำงานของ Component

Scene คือ ฉากแต่ละฉากซึ่งประกอบด้วย Game Object หลายๆ ตัวรวมกัน

Project เป็นส่วนที่ใช้ในการเก็บทรัพยากร ต่างๆก่อนนำไปสร้างเกม เช่น สคริปท์ต่างๆ ที่ใช้กำหนดควบคุมตัวเกม 3D โมเดล ใช้เป็นตัวละครหรือวัตถุต่างๆ ในเกม Textures หรือ พื้นผิวต่างๆ ไฟล์เสียง หรือวีดีโอ

Hierarchy คือส่วนที่บอกลำดับชั้น ของ Object ต่างๆ ที่อยู่ใน Scene นั้นๆซึ่งมีทั้ง Object แบบเดี่ยว และ Object ที่เป็นแม่ลูกกัน ซึ่ง เมื่อมีการจัดการอะไรบางอย่างกับ Object แม่ Object ที่เป็นลูกนั้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การสร้าง Object มีวิธีการคือลาก Object ต่างๆ ที่อยู่ ใน Project มาใส่ไว้ในส่วนของ Hierarchy หลังจาก นั้นจะปรากฏวัตถุที่ลากจาก Project มาวางบน Hierarchy ปรากฎขึ้นบน Scene ซึ่ง Object ต่างๆ เหล่านี้ สามารถเพิ่ม/แก้ไข/ลบ ได้โดยไม่ กระทบกับ Object ที่อยู่ใน Project

Scene เป็นส่วนที่บ่งบอกว่าในฉากที่กำลังทำงาน มี Object อะไรบ้าง สามารถจัดการ Object ต่างๆ เช่น กล้อง แสง เอฟเฟค หรือโมเดล 3 มิติ ได้จากส่วนนี้

Game คือส่วนที่แสดงการทำงานของเกมใน Scene ทำให้มองเห็นภาพ เหตุการณ์ และ การทำงาน ของ วัตถุ ต่างๆ ภายใน Scene ที่สร้างขึ้น

Inspector เป็นส่วนที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติต่างๆ ของ Object ซึ่งสามารถจัดการคุณสมบัติต่างๆ ของ Object ได้ในกรอบของ Inspector

การสร้างสื่อการเรียนรู้

ขั้นตอนในการผลิตสื่อการเรียนรู้ ประกอบด้วยดังนี้

1) ไอเดีย (Idea) ซึ่งจะเป็นสิ่งแรกที่เราสร้างสรรค์จินตนาการและ ความคิดของเราว่าผู้ชมของเราควรเป็นใคร อะไรที่เรา ต้องการ ให้ผู้ชมทราบ ภายหลัง จากที่ชมไปแล้ว ควรให้เรื่องที่เราสร้าง ออกมา เป็นสไตล์ไหน ซึ่งอาจจะมาจาก ประสบการณ์ ที่เราได้อ่านได้พบเห็น และสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นต้น

2) โครงเรื่อง (Story) โครงเรื่องจะประกอบไปด้วยการเล่าเรื่องที่บอกถึงเนื้อหาเรื่องราวทุกอย่างในภาพยนตร์ทั้งตัวละคร ลำดับเหตุการณ์ ฉาก แนวคิด และที่สำคัญเราควรพิจารณาว่าการเล่าเรื่องควรจะมีการหักมุมมากน้อยเพียงไร สามารถ สร้างความ บันเทิงได้หรือไม่ และความน่าสนใจนี้สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกประทับใจ จนสามารถระลึกในความทรงจำ และทำให้คนพูดถึง ตราบนานเท่านานหรือเปล่า

3) สคริปต์ (Script) เป็นขั้นตอนในการจับใจความสำคัญของเนื้อเรื่องให้ออกมาในแต่ละฉาก พร้อมทั้งกำหนดมุมกล้อง เทคนิคพิเศษ รวมถึงระยะเวลาของการเคลื่อนไหว โดยให้รายละเอียดต่างๆเช่น  ผู้จัดทำ เสียงดนตรี เสียงประกอบ จิตกรในการวาดหรือนักออกแบบตัวละคร และแอนิเมเตอร์ สร้างภาพให้กับตัวละคร ขั้นตอนนี้เป็นการออกแบบและกำหนดลักษณะนิสัย บุคลิกบทบาทต่างๆ และท่าทางการเคลื่อนไหว ให้กับตัวละคร โดยอาศัยองค์ประกอบพื้นฐานของการออกแบบ ได้แก่ ขนาด รูปทรง และสัดส่วน

4) สตอรี่บอร์ด (Storyboards) เป็นการใช้ภาพในการเล่าเรื่องให้ได้ครบถ้วน ทั้งเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นอารมณ์ในเหตุการณ์นั้นๆสีหน้า ท่าทาง ลักษณะต่างๆของตัวละครบอกถึงสถานที่ และมุมมองของภาพ ซึ่งภาพวาดทั้งหมด จะเรียงต่อเนื่องเป็นเหตุผลกัน เมื่อดูแล้วสามารถเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

5) บันทึกเสียง (Sound Recording) หลังจากที่เราได้ออกแบบตัวละครและสร้างสตอรีบอรด์เรียบร้อยแล้ว เราก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการอัดเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างยิ่ง บางสตูดิโออาจจะเริ่มต้นด้วยการอัดเสียง Soundtrack ก่อน ซึ่งการอัดเสียงประกอบแอนิเมชันจะแยกออกเป็นประเภทของเสียงโดยหลักแล้วจะมีดังนี้คือ

– เสียงบรรยาย (Narration) เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจ เป็นการปูพื้นฐานให้กับผู้ชมว่าเรื่องเป็นอย่างไร และยังเป็นการเชื่อมโยงให้เรื่องราวติดต่อกันด้วย

– บทสนทนา (Dialogue) เป็นหลักการหนึ่งในการสื่อเรื่องราวตามบทบาทของตัวละคร เป็นการสื่อความหมายให้ตรง ตามเนื้อเรื่องที่สั้น กระชับ และสัมพันธ์กับภาพ

– เสียงประกอบ (Sound Effects) เป็นเสียงที่นอกเหนือจากบรรยาย เสียงสนทนา เสียงประกอบจะทำให้เกิดรู้สึก สมจริงสมจัง มีจินตนาการเช่น เสียงระเบิด เสียงฟ้าร้อง เป็นต้น ราวกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานที่นั้นด้วย

– ดนตรีประกอบ (Music) ช่วยสร้างอารมณ์ของผู้ชมให้คล้อยตามเนื้อหาและปรับอารมณ์ของผู้ชมระหว่างการเชื่อมต่อของฉากหนึ่งไปยังอีกฉากหนึ่งได้ด้วย

6) การตรวจความเรียบร้อยของแอนิเมชั่น (Animatic Checking) Animatic คือการนำภาพที่วาดโดยช่างศิลป์ตามแนวคิด สร้างสรรค์มาประกอบกันเข้าเป็นเรื่องราวพร้อมเสียง ประโยชน์ของการทำ Animatic คือเวลานำเสนองานงานแอนิเมชั่นเบื้องต้น จะไม่หยาบเกินไปสามารถสื่อแนวคิดหลักใหญ่ๆ ช่วยให้นักสร้างสรรค์สามารถทบทวนแนวความคิดก่อนที่จะผลิตเป็น ภาพยนตร์ทบทวนกรอบเวลา การดำเนินเรื่องราวเหตุผลที่สามารถอธิบายได้อย่างต่อเนื่อง สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมภาพหรือ ตัดเข้าสู่ฉากอื่นได้ทันที เพื่อให้ได้งานที่มีอารมณ์จังหวะ และองค์ประกอบที่ใกล้เคียงก่อนการทำแอนิเมชั่น

7) ปรับแต่งชิ้นงาน (Refining the Animation) หลังจากที่เราได้ทำ Animatic แล้วจะต้องนำไปปรับปรุงและ ตกแต่งแก้ไขสตอรี่บอร์ด และขั้นตอนอื่นๆ โดยละเอียด เช่น ลักษณะงานศิลป์ฉากหลัง เสียง เวลา และส่วนประกอบอื่นๆจนกระทั่งเข้าสู่การผลิตงานแอนิเมชั่นต่อไป โดยการวาดเส้นด้วยคอมพิวเตอร์ การลงสีฉากและตัวละคร ภาพประกอบและเสียงต่อไป ซึ่งในอดีตการปรับเปลี่ยนแผนงานการทำ ภาพยนตร์การ์ตูน มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ในปัจจุบันนี้ได้นำระบบดิจิตอลคือคอมพิวเตอร์นั่นเองเข้ามาช่วยในการสร้างงานแอนิเมชันทำให้ประหยัด ค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ (information) ที่เกี่ยวข้อง

กมล งามสมสุข, เบญจพรรณ เอกะสิงห์  และกุศล ทองงาม ทำการวิจัยเรื่อง ผลการจำลองสถานการณ์ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในการปลูกข้าว และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรในจังหวัดพะเยาและลำปาง ทำการจำลอง (Simulation) ความเสี่ยงในการปลูกพืชของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดพะเยาและลำปาง โดยพิจารณาถึงโอกาสการขาดทุนที่เป็นผลมาจากความผันผวนของผลผลิต ราคาผลผลิต และราคาปัจจัยการผลิต โดยใช้โปรแกรม BestFit เพื่อวิเคราะห์หาฟังก์ชั่นการกระจายตัวหรือ Risk Function ของปัจจัยที่ผันผวนดังกล่าว และใช้โปรแกรม @Risk เพื่อประเมินหรือจำลองโอกาสการขาดทุนจากการปลูกพืชของเกษตรกร ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรในอำเภอต่างๆ ที่ปลูกข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีโอกาสขาดทุนค่อนข้างมากถ้าคิดต้นทุนทุกอย่างแล้ว โอกาสการขาดทุนสูงในทุกพืชไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตต่อไร่ต่ำ ต้นทุนสูงและมีโอกาสสูงขึ้นในขณะที่ราคาผลผลิตต่ำ โดยภาพรวม เกษตรกรในจังหวัดลำปางมีโอกาสขาดทุนสูงกว่าเกษตรกรในจังหวัดพะเยา เกษตรกรที่อาศัยอยู่ในอำเภอที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์มากกว่ามักจะไม่มีความเสี่ยงในการปลูกพืชหรือมีความเสี่ยงในระดับต่ำ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโอกาสการขาดทุนจากการปลูกพืชทั้งสองชนิดของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ มากที่สุด คือ ราคาผลผลิตซึ่งเป็นความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ ตามด้วยผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ อัตราค่าจ้างแรงงาน และราคาปุ๋ยเคมี การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อโอกาสการขาดทุนจากการปลูกพืชของเกษตรกรเหล่านี้ อาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงแตกต่างกันตามพื้นที่และชนิดของพืชที่ปลูก ดังนั้น กลยุทธ์ในการลดความเสี่ยง (จากการขาดทุน) ในการปลูกพืชของเกษตรกรจะต้องมีลักษณะเฉพาะพื้นที่และเฉพาะพืช  ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเกษตรกรเช่น เรื่องราคา และตลาด แต่เกษตรกรอาจลดหรือประหยัดต้นทุนเงินสดที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงได้  อาจลดการพึ่งพาตลาดลง โดยการผลิตเพื่อการบริโภคในครอบครัว  การเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่  การจำลองสถานการณ์ตามวิธีการที่ใช้นี้แสดงให้เห็นได้ว่าเกษตรกรเป็นผู้เผชิญ และรองรับความผันผวนจากความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ การทำเกษตรก็มีความยากลำบาก  สมควรที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

กรมพัฒนาที่ดิน มีการพัฒนาเกม “LDD’s IM-Farm” เป็นการนำข้อมูลจริงมาใช้ในการจำลองการปลูกพืช 5 ชนิดพืช ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ถั่วเหลือง โดยผู้เล่นสามารถเลือกตำแหน่งพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืชแต่ละชนิดได้จากแผนที่ฐาน (Base Map) หรือ เลือกจากแผนที่ภาพถ่ายออร์โธสี  มาตราส่วน 1:4,000 จากนั้น ผู้เล่นสามารถจำลองการบริหารจัดการพื้นที่ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต  โดยระบบจะดึงข้อมูลแผนที่กลุ่มชุดดิน  สภาพการใช้ที่ดิน  ทำให้ผู้เล่นทราบว่ากลุ่มชุดดินนั้น ๆ เหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดใด และอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานหรือไม่  นอกจาก นี้ยังมีข้อมูลการเจริญเติบโตของพืช เช่น การใส่ปุ๋ย การจัดการน้ำ การบำรุงดิน สภาพภูมิอากาศ รวมถึง ข้อมูลค่าแรงต้นทุน ข้อมูลราคาตลาด เป็นองค์ประกอบด้วย  เมื่อจบเกมแล้ว ผู้เล่นจะทราบทันทีว่าได้ผลผลิตจำนวนเท่าไร มีรายรับ-รายจ่าย (ผลกำไร/ขาดทุน) จำนวนเท่าไร ซึ่งในการคำนวณการประมาณการรายได้จากการทำเกษตรกรรมนั้น กรมพัฒนาที่ดินได้นำราคาตลาดของผลผลิต ที่มีการจัดเก็บจากฐานข้อมูลปัจจุบัน  มาใช้ในการคำนวณ ตลอดจนสามารถคำนวณเปรียบเทียบกับต้นทุนเพื่อคำนวณผลผลิตและขาดทุน  นอกจากนี้  ผู้เล่นสามารถทดสอบปรับเปลี่ยนเป็นพืชชนิดอื่น ๆ สำหรับเป็นทางเลือกในการปลูกพืชให้เหมาะสมกับกลุ่มชุดดิน เพื่อให้ได้ผลผลิตและมีผลกำไรมากที่สุด

เกมรถแทรกเตอร์จำลองรถแทรกเตอร์รถเกี่ยวข้าว เป็นเกมการจำลองปลูกพืชบนที่ดินของคุณเอง หว่านพืชใช้เพาะเมล็ดจริง เก็บเกี่ยวพืชและขายในตลาดเป็นเงินสดได้ ขั้นตอนเข้าสู่โลกของการทำฟาร์มที่มีการจำลองการเก็บเกี่ยวรถแทรกเตอร์ เป็นชาวนาและปลูกฝังการใช้ชีวิตของเกษตรกรและขายพืชจะได้รับเงินทำการจำลองการทำฟาร์มใหม่และใช้ยานพาหนะการเกษตร ประสบการณ์ชีวิตของเกษตรกรที่มีการจำลองการทำฟาร์มใหม่ การเติบโตและขายพืชให้ได้ราคาสูงสุด มีความสนุกสนานในการเจริญเติบโตของพืช ใช้เครื่องมือทางการเกษตรเพื่อการเพาะปลูกหว่านและเก็บเกี่ยวพืช เก็บเก็บเกี่ยวในไซโล โหลดรถพ่วงที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตและได้รับการตั้งค่าที่จะขาย ทำตามขั้นตอนการสอน คุณสมบัติของจำลองการเก็บเกี่ยวรถแทรกเตอร์ สภาพแวดล้อมการเลี้ยงจริง 3 มิติ หลายเครื่อง รวมถึงการทำฟาร์มแทรกเตอร์เสริม, เพาะเมล็ดและเครื่องพ่นสารเคมี หว่านและเก็บเกี่ยวพืชที่มีเครื่องจักรเพื่อการเกษตร เก็บผลผลิตในไซโล ขายพืชผลและได้รับเงินสด หาสถานที่ขายราคาเสนอขายสูงสุด เพิ่มผลกำไร ใช้เงินสดในการซื้อเครื่องที่ดีขึ้นและเพิ่มผลผลิต ซื้อที่ดินมากขึ้น ได้เป็นชาวนาที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง (http://www.androidappsgame.com/tractor-harvester-simulator/th)

เออวดี เปรมัษเฐียร ทำการสร้างแบบจำลองการพยากรณ์การปรับตัวของภาคการเกษตรไทย : เมื่ออ้อยและมันสำปะหลังเป็นพืชพลังงานทดแทนการนำพืชอาหารสัตว์ เช่นอ้อยและมันสำปะหลัง ไปใช้เป็นพืชพลังงานส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตทางการเกษตร ทั้งด้านการจัดสรรทรัพยากรที่ดิน แรงงาน ทุน และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ตลอดจนก่อให้เกิดการขาดแคลนสมดุลของการผลิตพืชอาหารตามมา วัตถุประสงค์ของงานวิจัยฉบับนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ว่าสถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นการผลิตพืชอาหารที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทนเกิดการขยายตัวในลักษณะใด และจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของภาคการเกษตรไทยอย่างไร โดยจัดทำแบบจำลองเพื่อเป็นแนวทางสำหรับอธิบายการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตและการจัดการทรัพยากรในภาคการเกษตรไทยที่จะเกิดขึ้นหากมีการขยายผลผลิตพืชพลังงาน ผลการศึกษาพบว่า การเพิ่มปริมาณการผลิตเอทานอลให้เพียงพอกับอุปสงค์เอทานอลในอนาคตส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรไทย ทำให้เกิดการสะสมทุนในภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น โครงสร้างการใช้ที่ดินเปลี่ยนไป มีการใช้แรงงานในการผลิตลดลง ส่วนการผลิตพลังงานทดแทนจากพืชพลังงานเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบให้ราคาพืชพลังงานสูงขึ้นต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

จินตนา และภูมิศักดิ์ สนามชัยกุล ทำการวิจัยศึกษารูปแบบการจัดการความรู้เทคโนโลยีการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยการมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้วิธีการวิจัยหลายวิธีร่วมกันได้แก่ การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก การทดลองในแปลงปลูก การประชุมปฏิบัติการทบทวนเอกสารงานวิจัย เพื่อรวบรวมองค์ความรู้การการทํานาอินทรีย์ และศึกษารูปแบบการจัดการความรู้โดยวิธีประชุมร่วมกันของเกษตรกร และเครือข่ายข้าวอินทรีย์ ได้ผลวิจัยดังนี้ 1. สถานการณ์การผลิตข้าวอินทรีย์ของเกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีจํานวนเพียง 14 กลุ่มแต่ละกลุ่มมีสมาชิกไม่เกิน 20 ราย กําลังอยู่ในขั้นตอนการปรับเปลี่ยน 2,700 ราย ซึ่งถือว่ายังน้อยทั้งๆ ที่จังหวัดมีนโยบายส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้มีการอบรมให้ความรู้อย่างกว้างขวางโดยสํานักงานเกษตรจังหวัด มีการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการตลาดโดยสํานักงานเกษตรจังหวัด มีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทําประสบความสําเร็จกระจายอยู่ทั่ว มีองค์ความรู้จากเอกสารเผยแพร่อย่างแพร่หลาย มีภาคเอกชนจัดอบรมนักการตลาดเกษตรอินทรีย์ ที่พร้อมจะนําสินค้าไปวางจําหน่าย รูปแบบการจัดการความรู้เทคโนโลยีการผลิตข้าวอินทรีย์ที่ได้คือ ให้มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การทํานาอินทรีย์จึงมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นรับผิดชอบ เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสาร มีปัจจัยการผลิตไว้บริการเครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่น เครือข่ายเกษตรกรและมีเครือข่ายการตลาด มีฐานเรียนรู้ มีหลักสูตรการอบรมบ่มเพาะที่สามารถปรับเปลี่ยนแนวคิด ความเชื่อ พฤติกรรมของเกษตรกรให้เกิดความศรัทธาต่อการเกษตรอินทรีย์อย่างจริงใจ และมีแกนนําการเปลี่ยนแปลงอยู่ในชุมชน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้การส่งเสริม

อนรรฆพล บุญช่วย  และ สมพงษ์ เฉยพันธ์ นำเสนอ ขาวเจ๊ก ข้าวนาน้ำฝนสายพันธุ์ดีเด่นจังหวัดชัยนาท จังหวัดชัยนาท มีพื้นที่บางส่วนที่ระบบชลประทานเข้าไม่ถึง เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่มักทำนาปีละครั้ง และอาศัยแหล่งน้ำจากปริมาณฝนที่ตกตามฤดูกาล โดยมักปลูกข้าวคุณภาพดีไว้เพื่อการบริโภค และนำบางส่วนจำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง “ขาวเจ๊ก” คือ ข้าวพื้นเมืองสายพันธุ์ดีที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในตำบลเด่นใหญ่ และตำบลไพรนกยูง อำเภอหันคา เป็นข้าวที่มีคุณภาพ การหุงต้มรับประทานอ่อนนุ่มกำลังดี และมีกลิ่นหอม เกษตรกรในท้องที่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท ได้เก็บรวบรวมพันธุ์ข้าวดังกล่าว เมื่อ พ.ศ. 2547 ทำการคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ ศึกษาพันธุ์ เปรียบเทียบผลผลิตภายในสถานี ระหว่างสถานี ในนาราษฎร์ ทดสอบเสถียรภาพของผลผลิต ทดสอบสายพันธุ์ดีเด่น ผลวิจัยพบว่า มีลักษณะเป็นข้าวเจ้าไวต่อช่วงแสง อายุเบา ลำต้นและใบมีสีเขียว ต้นแข็ง ไม่ล้มง่าย รวงแน่นปานกลาง ให้ผลผลิต 528 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่า ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ที่ให้ผลผลิต 414 กิโลกรัมต่อไร่ มีความสูงเฉลี่ย 168 เซนติเมตร น้ำหนักเมล็ดข้าวเปลือก 11.6 กรัมต่อถัง น้ำหนัก 1,000 เมล็ด 36.2 กรัม คุณภาพการสีดี ความยาวของเมล็ดข้าวกล้อง 8.02 มิลลิเมตร กว้าง 2.42 มิลลิเมตร หนา 1.96 มิลลิเมตร ท้องไข่น้อย จัดเป็นข้าวที่มีอมิโลสต่ำ คือ 18.16 เปอร์เซ็นต์ ความคงตัวของแป้งสุกอ่อน อุณหภูมิแป้งสุกต่ำ การยืดตัวของข้าวสุก 1.93 เท่า ข้าวหุงสุกแล้วอ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับนาอาศัยน้ำฝนในเขตภาคเหนือตอนล่าง ที่ต้องการปลูกข้าวอายุเบาไว้เพื่อการบริโภค ข้อควรระวัง คือ อ่อนแอต่อโรคขอบใบแห้ง ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรคไหม้ และไม่ต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (แหล่งที่มา https://dspace.tarr.arda.or.th/handle/6622815955/9542)

 การเปรียบเทียบกับแอพลิเคชันที่มีอยู่ในปัจจุบัน

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สร้างแอพพลิเคชัน “กระดานเศรษฐี เกษตรกรมีโอกาส” แบบการ์ตูน หน้าจอจะโชว์เมนูให้เลือกเล่นเกมส์วางแผนการผลิต เลือกพื้นที่จะทำการเกษตรที่ไหน ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร และให้เลือกว่าจะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ยงปลา ชนิดไหน และบอกว่าพื้นที่เหมาะสมหรือไม่ มีจุดรับซื้อผลผลิตหรือไม่ ทำไปแล้วผลตอบแทนคุ้มค่า และแสดงต้นทนุการผลิตได้ ใส่ตัวเลขข้อมูลต้นทุนในกระบวนการผลิต แอพฯจะคำนวณบอกให้รู้ คุ้มค่าที่จะทำ ทำแล้วจะขาดทุนหรือกำไร ควรปรับปรุงในเรื่องไหน ต้องลดการให้อาหาร หรือใส่ปุ๋ยถึงจะมีกำไร เป็นต้น มีการบอกราคาผลผลิต ณ ปัจจุบัน และเปรียบเทียบคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นแนวทางในอนาคต

        แหล่งที่มา https://www.thairath.co.th/content/962412

แอพพลิเคชัน ชาวนาไทย เป็นนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือชาวเกษตรกรไทย เน้น มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว จากภาครัฐ โดยกรมการค้าภายใน เพื่อการทำการเกษตรในยุค 4.0 เป็นแอพที่ดีที่สุด อัพเดทข้อมูลทุกวัน เพื่อให้เกษตรกรได้ประโยชน์จากความรู้เกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวที่ทันสมัย โดยอาศัยเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น ด้วยการ วางแผนการผลิต วางแผนการเงิน วางแผนการตลาด เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สร้างรายได้และแหล่งที่มาของเงินทุนให้กับเกษตรกร ผ่านระบบการบริหารจัดการและหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยในการวางแผนแบบครบวงจรมากที่สุด เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทยสู่การเป็น ชาวนายุค 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์

ความโดดเด่นของ ชาวนาไทย คือ ระบบจัดการข้อมูลที่ใช้งานได้ง่าย แม้ผู้ใช้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ก็สามารถใช้งานได้ง่ายเพียงแค่ใส่ข้อมูล ระบบก็จะประมาณการกำไรต้นทุนเพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนการปลูก และสร้างปฏิทินการเกษตรที่คอยแนะนำเกษตรกรว่าจะต้องทำอะไรบ้างช่วงเวลาไหน ควรใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช พร้อมการบันทึกต้นทุนและพร้อมวางขายบนตลาดกลาง มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายพร้อม

แอพพลิเคชัน ชาวนาไทย ประกอบด้วย 5 ฟังก์ชัน ดังนี้

(1) มาตรการช่วยเหลือ : มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ทำให้เกษตรกรได้รับรู้ รวดเร็ว เข้าถึง เข้าใจ มากขึ้น

(2) ข้อมูลและข่าวสาร : สรุปข้อมูลภาพรวมเกษตรทั่วไป ป็นข่าวสารจากภาครัฐ ประเด็นเด่น ข้อมูลสภาพอากาศ ตั้งกระทู้ ถาม-ตอบแต่ละจังหวัด แต่ละภาค รวมไปถึง แนวโน้มราคาสินค้าการเกษตร

(3) การเพาะปลูก : ช่วยคำนวณกำไรต้นทุนเพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรได้พิจารณาตัดสินใจก่อนที่จะทำการเพาะปลูกจริง เพียงใส่พื้นที่ และสิ่งที่ต้องการปลูก พร้อมสร้างปฏิทินการทำงานเพื่อให้เกษตรกรได้วางแผนทำการเกษตรและบันทึกต้นทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละระยะการเพาะปลูก ลงพิกัดพื้นที่ ที่ต้องการเพาะปลูกพร้อมการแนะนำเรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องพันธุ์ข้าว หรือพืชเศรษฐกิจในการเพาะปลูก แบบถูกต้องและทันสมัย

(4) ตลาดการเกษตร : Market place ศูนย์กลางที่รวบรวม ผู้ซื้อ ผู้ขาย ให้มาเจอกัน โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง และเป็นช่องทางอำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกร

(5) ข้อมูลส่วนตัว : บันทึกข้อมูลส่วนตัว และประวัติการใช้งานของผู้ใช้ เหมือนเป็นไดอารี่ออนไลน์เน้นเรื่องการเพาะปลูกและผลผลิต มีระบบติดตามข้อมูลซึ่งกันและกัน สนใจสินค้าการเกษตร ก็สามารถสอบถามผ่าน Comment หรือ แชทคุยกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

แหล่งที่มา https://play.google.com/store/apps/details?id=com.chaonathais.android&hl=th

แอพลิเคชัน Agri-Map เป็นแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก โดยบูรณาการข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรจากทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการการเกษตรไทยอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุม ทุกพื้นที่ มีการปรับข้อมูลให้ทันสมัย และพัฒนาเพิ่มความสะดวกการใช้งาน ให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลโดยง่าย พร้อมกับสามารถติดตามข้อมูลความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง

แหล่งที่มา https://play.google.com/store/apps/details?id=th.or.nectec.agrimap&hl=th

 

Type App App

1. Applications for plant’s suggestions

 
2. Applications for water’s suggestions  
3. Application for plant, water, and crop map’s suggestions  
4. Application for soil’s suggestions  
5. Applications for plant, soil, and crop map’s suggestions  
6. Applications of Meteorological Analysis  

 

จากการค้นหาสำรวจแอพลิเคชันสำหรับเกษตรกร ที่เปิดให้ดาวน์โหลดแสดงในภาพด้านล่าง แหล่งที่มา www.bangkokbanksme.com/article/14192  โดยจะเห็นได้ว่ามีจำนวนแอพลิเคชันหลากหลาย เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับศัตรูพืช ข่าวสารการบริหารจัดการน้ำ พยากรณ์และเตือนภัยที่จะเกิดการระบาดในนาข้าว รวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีการผลิตข้าว เป็นต้น ปัญหาประการนึงคือ วิธีการใช้งานแอพลิเคชันสำหรับเกษตรกร ความเข้าใจทำได้ยาก เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงหรือเข้าใจในการใช้งานแอพลิเคชัน ข้อมูลที่ทางภาครัฐ เผยแพร่ เนื่องจากเป็นข้อมูลภาพรวมของทั้งประเทศ วิธีการใช้งานแอพลิเคชัน เวลาที่ใช้แอพลิคชันเมื่อไหร่  การอบรมเชิงปฏิบัติการและคู่มือการติดตั้งและการใช้งานแอพลิเคชัน จึงมีความจำเป็นสำหรับเกษตรกรอย่างยิ่ง

งานวิจัยนี้จะมีการเก็บข้อมูลกับกลุ่มเกษตรกรพื้นที่ตัวอย่างและมีการจัดทำคู่มือการใช้งาน เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก มีการติดตามผลจากการใช้งานแอพลิเคชัน และใช้ข้อมูลระบุลงในรายพื้นที่ พร้อมปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรจะเข้าใจง่ายและมองเห็นสภาพในพื้นที่จริงโดยใช้กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรที่ปลูกข้าวในจังหวัดชัยนาท โดยมีการรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรและปัญหาที่เกษตรกรต้องการความช่วยเหลือ จากการลงพื้นทีของทีมวิจัยในการสนทนากลุ่มกับเกษตรกร และเกษตรกรผู้ท่าโครงการนาแปลงใหญ่ เกษตรกรได้แสดงความคิดเห็นถึงปัญหาราคาข้าวไว้ดังนี้ “ปัญหาที่สาคัญของเกษตรกร ตำบลห้วยกรด ตำบลสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท คือ ต้นทุนการผลิต ได้แก่ ค่าปุ๋ยเคมี ค่าสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช และค่าจ้างเครื่องจักรเพื่อทำการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนวิธีการผลิตในลักษณะเดิม เป็นการผลิตข้าวปราณีต ลดค่าใช้จ่ายของสารเคมีด้วยการใช้สารชีวภาพ ทาให้สุขภาพดี สามารถใช้หนี้นอกระบบจนหมด เหลือเพียงแต่หนี้กับธนาคารอาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเท่านั้น” ฉอ้อน เกิดเทศ (2559, สัมภาษณ์ 26 ธันวาคม 2559) เกษตรกรผลิตข้าวและสินค้าเกษตรประณีต “ในอดีตการส่งเสริมการผลิตข้าวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะ สารเคมีและปุ๋ยเคมี การส่งเสริมดังกล่าวประกอบกับความสะดวกและความรวดเร็วของผลที่ไดรับในระยะแรก ทำให้การใช้สารเคมีแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เกษตรกรเกิดความเคยชินกับการใช้สารเคมีและเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เป็นประจำ จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และขาดความระมัดระวัง ได้ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวเกษตรกร สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นต้นทุนหลักการผลิตของข้าวในจังหวัดชัยนาท หากมีการลดการใช้สารเคมีดังกล่าว จะช่วยลดต้นทุนได้เป็นจำนวนมาก” สุนทร มณฑลทา (2559, สัมภาษณ์ 26 ธันวาคม 2559)

แหล่งที่มา www.bangkokbanksme.com/article/14192

 

ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้าวและการจำหน่ายข้าว ในจังหวัดชัยนาท สามารถสรุปได้ 5 ด้านดังนี้

1) ด้านการเรียนรู้ของเกษตรกร พบปัญหาการรวมกลุ่มที่ไม่ยั่งยืน และการขาดองค์ความรู้

2) ด้านทรัพยากรการผลิต พบปัญหาดินเสีย เกษตรกรขาดเงินทุน ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืชราคาแพง ขาดน้ำทางการเกษตร ปัญหาโรคระบาด ปัญหาภัยธรรมชาติ (ภัยแล้ง ภัยหนาว และน้ำท่วม) การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ปัญหาการขยายพันธุ์ข้าวปลูก ขาดข้าวคุณภาพสูง ข้าวไม่ต้านทานโรค เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ขาดแหล่งปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ ความรุนแรงของโรคระบาด ราคาข้าวตกต่่า ต้นทุนแพง (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

3) ด้านการจัดการการตลาด พบปัญหาด้านกลไกการตลาดไม่แน่นอน เกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ เกษตรกรขาดความรู้ด้านการตลาด คุณภาพข้าวโดนกดราคา ไม่มียุ้งฉาง ไม่มีลานตากข้าว ไม่มีหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ราคาข้าวตกต่ำ ขาดช่องทางการส่งออกทั้งในและต่างประเทศ

4) ด้านการควบคุมคุณภาพข้าว พบปัญหาเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ได้มาตรฐาน ผอม เขียว ชื้น มีโรคแมลงเยอะ การระบาดของแมลง ค่าเก็บเกี่ยวผลผลิตแพง เมล็ดข้าวไม่ออกรวง ไม่มียุ้งฉาง และไม่มีลานตากข้าวเมื่อข้าวที่ขายมีความชื้นสูงทำให้ถูกกดราคา

5) การจัดการต้นทุนการผลิต พบปัญหาต้นทุนสูง ทั้งในส่วนของพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ราคาแพง ค่าจ้างแรงงานแพง เช่น แรงงานคน เครื่องจักร และค่าเช่านา และอยากให้มีเทคโนโลยีช่วยทำนา

 

ธรรมชาติ/วิถีการปฏิบัติในการปลูกข้าวในจังหวัดชัยนาท

จากข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตร จังหวัดชัยนาท ปี 2560 โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท แสดงการใช้พื้นที่การเกษตรในจังหวัด

 

จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ระบุพื้นที่จังหวัดชัยนาทเป็นพื้นที่ทำการเกษตร 1.283 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 884,451 ไร่ โดยกำลังการผลิตข้าวของโรงสีในจังหวัดชัยนาท สามารถสีข้าวได้ปีละ 3.5 ล้านตันข้าวเปลือก ส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวเพื่อจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ ใช้เมล็ดพันธุ์ดีและมีคุณภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ภาคการเกษตรในจังหวัดชัยนาท ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีพื้นทั้งหมด 1.622 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 1.283 ล้านไร่ (ร้อยละ 79) อยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน 0.78 ล้านไร่ (ร้อยละ 62) โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 884,451 ไร่ พืชไร่ 302,594 ไร่  ไม้ผล 37,031 ไร่ และอื่นๆ พบว่า เกษตรกรจังหวัดชัยนาทปลูกข้าวได้ 2 – 3 ครั้งต่อปี โดยแต่ละปีการผลิตเพาะปลูกมีผลผลิตเกือบ 1 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 5 แสนตันข้าวสาร แยกเป็น ผลผลิตในฤดูนาปีมีผลผลิต 5.5 แสนตันข้าวเปลือก ฤดูนาปรัง 4 แสนตันข้าวเปลือก ชนิดข้าวที่เพาะปลูกในจังหวัดชัยนาท แบ่งได้ 4 ชนิด คือ ข้าวขาวทั่วไป ข้าวหอมจังหวัด ข้าวหอมปทุมธานี และข้าวอินทรีย์ นอกจากนี้ ยังมีการปลูกข้าวเพื่อจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ ในอำเภอเมือง ประกอบกับจังหวัดชัยนาท มีแหล่งรับซื้อข้าว และโรงสีข้าวขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก กำลังการผลิตข้าวของโรงสีในจังหวัดชัยนาท สามารถสีข้าวได้ปีละ 3.5 ล้านตันข้าวเปลือก

จังหวัดชัยนาท นับว่า มีชื่อเสียงในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เกษตรกรสามารถขายเมล็ดพันธุ์ข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าการขายข้าวเปลือกเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบเรื่องอุปสงค์และอุปทานข้าวเปลือกของจังหวัดชัยนาทกับกำลังการผลิตของโรงสีในจังหวัดชัยนาท โดยผลผลิตข้าวจังหวัดชัยนาทยังไม่เพียงพอต่อโรงสีที่มีอยู่ จึงเป็นผลดีต่อเกษตรกรในจังหวัดสามารถหาแหล่งขายง่ายกว่าจังหวัดอื่น

ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกข้าวเพื่อจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ของจังหวัดชัยนาท อยู่ที่อำเภอเมือง และอำเภอวัดสิงห์ ซึ่งการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ดีและมีคุณภาพได้มาตรฐานจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรโดยตรงในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  อีกทั้งยังสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี

(แหล่งที่มา http://www.oae.go.th/ewt_news.php? nid=24035&filename=news)

ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการผลิตข้าวในประเทศไทย คือ ต้นทุนด้านปัจจัยการผลิต  ประกอบด้วย ค่าปุ๋ยเคมี สารป้องกันและกำจัดวัชพืช ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย (Thai Rice Exporters Association) รายงานว่า ต้นทุนการผลิตข้าวในประเทศไทยนั้นสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ประเทศเวียดนาม โดยต้นทุนการผลิตข้าวไทยสูงถึง ไร่ละ 6,000 – 7,000 บาท ในขณะที่ประเทศเวียดนามมีต้นทุน การผลิตเฉลี่ยเพียงไร่ละ 4,900 บาท นอกจากนี้ ผลผลิตข้าวในประเทศไทยยังต่ำกว่าประเทศ เวียดนามด้วย คือ ข้าวไทยมีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยเพียง 448 กิโลกรัม ในขณะที่ข้าวจากประเทศเวียดนามมีผลผลิตต่อไร่มากถึง 862 กิโลกรัม  (Thai Rice Exporters Association, 2014) โดยปัญหาต้นทุนการผลิตข้าวสูงนั้นเกิดกับชาวนาจังหวัดชัยนาทเช่นกัน ได้มีนโยบายการแก้ไขปัญหาต้นทุนการผลิตข้าว ด้วยการลดต้นทุนการผลิตในการทำนา ทั้งด้านปัจจัยการผลิต อาทิ พันธุ์ข้าว ปุ๋ย และค่าจ้างในการทำนา เช่น ค่าไถ ค่าหว่านเมล็ดพันธุ์และค่าการเก็บเกี่ยว แต่ยังขาดการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจการผลิตข้าวแบบทั่วไป ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ปี 2545 โดยหลังจากปี 2545 การวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ในจังหวัดชัยนาทไม่มีการวิจัยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน การวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจการผลิตข้าวแบบทั่วไปเมื่อปี 2545 พบว่า ต้นทุนรวมเฉลี่ยของการผลิตข้าวแบบทั่วไป คือ 2,546.94 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ต้นทุนผันแปรร้อยละ 79.21 (ค่าจ้างแรงงาน ค่าจ้างเครื่องจักรกลทางการเกษตร ค่าปัจจัยการผลิต) และต้นทุนคงที่ร้อยละ 20.79 (ค่าใช้ที่ดินและค่าเสื่อมอุปกรณ์การเกษตร) ขณะที่ต้นทุนรวมเฉลี่ยของการผลิตข้าวแบบการผลิตข้าวแบบผสมผสาน คือ 2,237.08 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ต้นทุนผันแปรร้อยละ 77.12 และต้นทุนคงที่ร้อยละ 22.88 (ไกรศล โมกขมรรคกุล, 2545)

จากข้อมูลดังกล่าว คณะผู้วิจัยจึงมองเห็นว่าข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด และปัญหาของราคาข้าวตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อรายได้หลักของเกษตรกร และระบบการเก็บเกี่ยวข้าวของชัยนาทเป็นแบบใช้เครื่องเกี่ยวนวดข้าว ทำให้ข้าวเปลือกที่ได้มีความชื้นสูง ดังนั้นต้องส่งขายให้โรงสีทันทีเพื่อนำไปสู่การอบในระบบอุตสาหกรรมและการสีต่อไป นอกจากนี้ทางด้านนโยบายรัฐบาลส่งผลให้ชาวนาเน้นการปลูกเพื่อขายโรงสี ดังนั้นการลดต้นทุนในการผลิตข้าวเป็นวิธีการนึงในการแก้ปัญหาที่กล่าวมา

 

จุดเด่นของแอพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น/ความแตกต่าง เปรียบเทียบกับแอพลิเคชันหน่วยงานอื่นๆ

จุดเด่นของแอพลิเคชันที่จะพัฒนาขึ้น คือ สามารถเข้าถึงได้ง่าย  เข้าใจง่าย การใช้งานง่าย มีการใช้เทคโนโลยี LBS location base service และระบการเรียนรู้อัจฉริยะ (Artificial Intelligent learning system) เกษตรกรสามารถใช้งานได้ผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน มีข้อมูลการเกษตรสำหรับการปลูกข้าวในพื้นที่ ข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ความเหมาะสมของสภาพชั้นดินในการปลูกข้าว เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเกษตรกรและผู้ที่สนใจการปลูกข้าว มีการแสดงปัญหาศัตรูพืช โรคพืช สภาพอากาศ ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วมและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ จากทางภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงข้อมูลในอดีตที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปลูกข้าวในพื้นที่จังหวัดชัยนาท

โอกาสที่จะทำให้สำเร็จ โดยเมื่อสำเร็จแล้วเกษตรกรมีโอกาสจะใช้

เทคโนโลยีการพัฒนาแอพลิเคชัน มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีการเผยแพร่เครื่องมือและแหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนจากทางภาครัฐและเอกชน ดังนั้นโอกาสในการสร้างแอพลิเคชันสำเร็จและการนำไปใช้จึงมีความเป็นไปได้อย่างมาก และมีการเผยแพร่ให้ความรู้กับเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการทำให้เกษตรกรมีความสนใจและนำไปใช้

 

ควาน่าจะเป็นหรือโอกาสในการยอมรับแอพลิเคชันของเกษตรกรในจังหวัดชัยนาทและการยอมรับในนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

การพัฒนาแอพลิเคชันการเรียนรู้ระบบการเพาะปลูกข้าวอัจฉริยะ จะเป็นวิธีการแนะนำให้เกษตรกรมีความเข้าใจในการปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลทางการเกษตรของภาครัฐที่มีประโยชน์ในการปลูกข้าวของพื้นที่จังหวัดชัยนาท และการสอนการเพาะปลูกข้าว สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจในการปลูกข้าว ซึ่งจะออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน เกษตรกรสามารถใช้งานได้ จะเป็นการประชาสัมพันธ์จากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกร ทำให้เกิดการใช้เทคโนโลยีในการลดต้นทุนการผลิต รวมถึงให้ทางภาครัฐที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลและส่งเสริมการเกษตร ทำให้เกิดความสนใจใช้แอพลิเคชัน และเป็นการยอมรับของเกษตรกร หรือผู้ที่สนใจใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดลง

 

 

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

10.1 ด้านวิชาการ พัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างรูปแบบกิจกรรมการปลูกพืชในประเทศไทย

10.2 ด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมการเกษตร ส่งผลให้ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ สามารถนำเงินตรา ไปพัฒนาเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ต่อไป

10.3 ด้านสังคม เป็นการเสริมสร้างความรู้ด้านการทำเกษตรกรรม และเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่สนใจและคนรุ่นต่อไปปฏิบัติตาม

10.4 บุคคลและสถาบันการศึกษา สามารถนำผลการวิจัย รูปแบบการจำลองสถานการณ์การปลูกข้าวที่พัฒนาขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้

แผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือผลการวิจัยสู่กลุ่มเป้าหมาย

ทำการอบรมและเผยแพร่แอพลิเคชัน ให้แก่ เกษตรกรในจังหวัดชัยนาท นักศึกษาและบุคคลผู้สนใจทั่วไป จำนวนอย่างน้อย 200 คน

วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติแบบบูรณาการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ คือ เกษตรกรที่ปลูกข้าวในจังหวัดชัยนาท โดยผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ และเทคนิควิธีการในการเก็บข้อมูล เช่น การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มย่อย การทำแผนภูมิฤดูกาลผลิต โดยมีกระบวนการวิจัยดังนี้ การเก็บรวบรวมข้อมูล มีการสำรวจพื้นที่ ศึกษาข้อมูลทั้งจากเอกสารและการค้นข้อมูลจากตัวบุคคลที่เป็นผู้รู้ในชุมชน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยใช้การจัดสนทนากลุ่มย่อย ในการรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์รอบด้านข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เจาะลึกการสนทนากลุ่ม และการสังเกตเหตุการณ์แบบมีส่วนร่วม ข้อมูลเบื้องต้นการเกิดสภาวะภัยแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร รวมถึงกิจกรรมที่เป็นวิถีชีวิตชุมชน การจำแนกประเภทการทำเกษตร แหล่งน้ำ พื้นที่ทางการเกษตร การจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ปัญหาน้ำแล้ง รูปแบบการแก้ปัญหาการจัดการน้ำ หรือการปรับตัวของเกษตรกรของแต่ละพื้นที่ ผลดี ผลผลิตและผลกระทบจากการจัดการน้ำ ด้วยวิธีการต่างๆ โดยสามารถสรุปเป็นวิธีการดำเนินการวิจัยได้ดังนี้

(1) ทบทวนงานวิจัย/ตรวจเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิธีการปลูกข้าว การใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรสำหรับการปลูกข้าว ปัญหาการปลูกข้าว วิถีชีวิตของเกษตรกร รวบรวมข้อมูลพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดชัยนาท

(2) วิเคราะห์ผล ตรวจสอบข้อมูลโดยทำการสรุปปัจจัยในที่มีผลต่อการปลูกข้าวในพื้นที่จังหวัดชัยนาท องค์ความรู้ในการปลูกข้าวในพื้นที่จังหวัดชัยนาท และการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในการปลูกข้าว

(3) ทำการออกแบบแอพลิเคชันในการปลูกข้าวเพื่อให้มีการใช้งานที่ง่าย เน้นทำการออกแบบหน้าจอแอพลิเคชันให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย(user interface, user experience: UI/Ux) และมีความถูกต้อง โดยมีการรวบรวมความต้องการของผู้ใช้งาน (user requirement) จากเกษตรกร ผู้ที่สนใจอาชีพเกษตร และผู้เชี่ยวชาญ นำผลที่ได้ไปออกแบบหน้าจอ ข้อมูลนำเข้า (Input) ผลลัพธ์ (Output) ชนิดของข้อมูล การเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย และระยะเวลาในการพัฒนาแอพลิเคชัน

(4) ทำการพัฒนาแอพลิเคชันและระบบข้อมูล โดยใช้ซอฟท์แวร์ Ionic Framework เพื่อให้สามารถทำงานได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android ระบบปฏิบัติการ ios  และ web application เทคโนโลยีหลัก HTML5, CSS3 และ JavaScript ระบบฐานข้อมูล SQLite Database เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วและไม่ต้องการทรัพยากรเครื่องที่สูงมาก

(5) ทดสอบการทำงานของการแอพลิเคชัน เพื่อหาข้อผิดพลาด และทำการปรับปรุงแก้ไข พร้อมทั้งสร้างคู่มือและวิดีโอสาธิตวิธีการใช้งาน

(6) การเผยแพร่แอพลิเคชันพร้อมคู่มืออิเลคทรอนิคส์

(7) ทำการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานแอพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นให้กับเกษตรกร นักศึกษา ผู้ที่สนใจการปลูกข้าว บุคลากรภาครัฐ

(8) ทำการประเมินผลจากการใช้งานแอพลิเคชัน รวบรวมสถิติการใช้งานแอพลิเคชัน รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากการงานแอพลิเคชัน เพื่อพัฒนาในเวอรชันต่อไป

(9) เขียนรายงานและสรุปผล

 

 

 

 

 

 

 

 

รูปภาพแสดงแผนผังการทำงาน

 

สถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล

พื้นที่ปลูกข้าวในจังหวัดชัยนาท

สาขาวิชาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย คณะวิทยาศาสตร์ ชั้น 5 อาคารจันทรากาญจนาภิเษก

 

 

 

  1. ระยะเวลาทำการวิจัยและแผนการดำเนินงานตลอดโครงการวิจัย (ให้ระบุขั้นตอนอย่างละเอียด)

 

กิจกรรม/ขั้นตอน

การดำเนินงาน

ปีที่ 1
เดือน
  2 4 6 8 10 12

ก. การเตรียมการ

– การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

– การติดต่อและรวบรวมข้อมูลการเพาะปลูกข้าว

– การออกแบบ

           

ข. การพัฒนาแอพลิเคชัน

–  ขั้นตอนการเพาะปลูกข้าว

           
ค. การทดสอบการทำงานแอพลิเคชัน            

ง. การเขียนรายงานและการเผยแพร่ผลงาน

– การเขียนรายงานจัดพิมพ์รายงาน

– การอบรมและเผยแพร่ผลงาน